เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ธ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

การเกิด เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์แสนยากเพราะเราต้องทำบุญกุศล ถ้าเราไม่ทำบุญกุศลขึ้นมานี่ บุญพาเกิดนะ จิตนี้ไม่มีที่สิ้นสุด มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน จิตนี้ธรรมชาติของมันต้องเป็น สสารอันนี้เป็นสสารธาตุรู้ไง นิพพานคือความดับสิ้นของทุกข์ นิพพานนี่มันเป็นสิ่งที่คงที่ จิตนี้ก็คงที่อยู่ แต่คงที่อยู่แบบมีไง มีหมุนเวียนไปตามอำนาจของบุญกุศล บุญกุศลทำให้พาเกิด

เกิดในวัฏฏะ เห็นไหม ในอบายภูมิทั้ง ๔ เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นผี เกิดเป็นอสุรกาย ทุกคนจะถามเลยว่า “ผีมีจริงหรือเปล่า?” ...ผีมีจริงหรือเปล่าไม่สำคัญ สำคัญว่าเรามีความรู้สึกหรือเปล่า? ถ้าเรามีความรู้สึกอยู่ ความรู้สึกนี้คือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณนี้ออกจากร่างไปแล้วมันจะไปไหน?

เวลาเราปฏิเสธว่าผีสางไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี เปรต เทวดาไม่มี สิ่งนั้นไม่มีแล้วไปจากไหน มันสืบต่อไปอย่างไร ถ้าสิ่งที่ไม่มี เราก็ต้องไม่มีความรู้สึกของเราด้วย เพราะถ้าความรู้สึกเรามีนี่ เราเกิดเราตาย เห็นไหม เวลาสิ่งที่ตายไป คนตายเผาแต่ร่างกาย เผาแต่ซากศพ หรือฝังไว้เท่านั้น แต่วิญญาณไม่มีใครเคยเผามันได้ ตบะธรรมเท่านั้นไง

เห็นไหม มงคล ๓๘ ประการ เกิดในประเทศอันสมควร เราได้เกิดในประเทศอันสมควรนี่ เกิดในประเทศที่ศาสนาพุทธ เห็นไหม ศาสนาพุทธนี้สะสมเข้ามาในหัวใจ เพราะปู่ยาตายายเรานับถือชาวพุทธ เป็นศาสนาพุทธมา ศาสนาพุทธสอนไง สอนให้เป็นครอบครัวใหญ่ เห็นไหม ทางเอเชียเรานี่ ทางตะวันออกเรานี่ เรื่องของศาสนาครอบครัวใหญ่ต้องมีพ่อ มีแม่ มีปู่ มีย่า มีตา มียาย เป็นครอบครัวใหญ่มีความอบอุ่นไง

แต่ในทางตะวันตกเขา เขาต้องอยู่แบบอิสระของเขา นั้นเป็นความคิด เห็นไหม ความคิดของคนมีกิเลส ความคิดแบบเอาสะดวกสบาย แต่สุดท้ายแล้วทุกคนว้าเหว่นะ เวลาแก่เวลาเฒ่านี่ ทุกคนจะว้าเหว่ แต่ของเราเวลาแก่เวลาเฒ่าขึ้นมานี่มันมีความอบอุ่นไง ความอบอุ่นว่ามีลูกมีหลาน มีความอบอุ่นอยู่ แต่หัวใจก็ต้องจากไป หัวใจเวลาทุกข์ยากนี่ ทุกข์ยากเวลาจะตายต้องพลัดพรากจากไป

นี่มันหมุนไปตามสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้พาให้เกิดพาให้ตาย เราถึงสร้างบุญกุศลของเรา สิ่งสร้างบุญกุศลให้ซับถึงหัวใจไง คนไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าคนไม่ทำแล้วไม่ได้ แล้วถ้าเราไม่มีเราไม่ทำ ทำอย่างไรล่ะ เราไม่มี เราไม่ทำ เราก็อนุโมทนา เห็นไหม เห็นเขาทำคุณงามความดี เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เราก็สร้างหัวใจของเราไง สร้างหัวใจของเราให้เปิด ให้เห็นคุณงามความดีเป็นสิ่ง เป็นเจตนา เป็นเป้าหมาย

เวลาถึงที่สุดในศาสนาพุทธของเรา เห็นไหม อธิษฐานบารมีคือเป้าหมาย เราถึงเป้าหมาย ถ้าเรามี เราจะทำสภาวะของเราแบบนั้น มันเป็นเจตนา สิ่งที่เป็นเจตนานี่ มันฝังลงไปที่ใจ ถ้าใจมีความเจตนา มีทำสิ่งใดไว้นี่ มันฝังลงที่ใจทั้งหมด เราเคยทำสิ่งใดไว้ ไม่มีที่ลับที่แจ้ง โลกเขามีที่ลับที่แจ้ง แต่ที่แจ้งของเขาเป็นสภาวะแบบนั้น

แต่ความลับของเขาไม่มีเลย เพราะอะไร? เพราะเราเป็นคนกระทำ เห็นไหม จิตของเราเป็นคนกระทำ สิ่งใดที่เราทำคุณงามความดีไว้สะสมลงที่ใจ สิ่งที่ทำบาปอกุศลไว้สะสมลงที่ใจ สิ่งนี้ถ้ามันคิดถึงขึ้นมานี่ มันเหมือนแผลสด ๆ เลยนะ มันมีความคิดขึ้นมาสด ๆ มันจะมีความรู้สึกขึ้นมา

สิ่งนี้ความรู้สึกอันนี้สะสมขึ้นมา จนเป็นจริตจนเป็นนิสัย จนเป็นการเกิดไง เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความสุขความทุกข์ไม่เหมือนกัน เกิดในประเทศอันสมควร เกิดเป็นมนุษย์แล้วนี่ เป็นสมบัติอันประเสริฐมาก เพราะอะไร? เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์มีปัญญาไง คำว่า “สมอง” เห็นไหม คนว่าความคิดมีปัญญานี่ สมองนี่ มนุษย์นี่มีการพัฒนาขึ้นมา

แต่สัตว์ของเขาเกิดมาพร้อมกับมนุษย์เรานี่แหละ แล้วเขาพัฒนาของเขาไหม เขาก็เป็นสัตว์ของเขาอยู่อย่างนั้น เขาพัฒนาของเขาไปไม่ได้ แต่มนุษย์นี่พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะมนุษย์มีสมองไง มนุษย์มีสมอง มนุษย์ถึงจะทำคุณงามความดีได้ แต่มนุษย์ถ้าทำความผิดพลาด เห็นไหม จะกดขี่กัน จะทำลายกันแบบมหาศาลเลย อันนี้มันถึงต้องมีศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องจรรโลงไง

แล้วศาสนาต่าง ๆ เห็นไหม ในศาสดาของศาสนาต่าง ๆ ต่างคนต่างมีกิเลสเพราะไม่มีศาสดาองค์ใดเลยปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ ตอนเทศน์ธัมมจักฯให้ปัญจวัคคีย์ เห็นไหม นี่ “เราเคยพูดไหมว่าเราสิ้นกิเลส เคยอยู่ด้วยกันมานี่” เป็นความซื่อสัตย์กับตนไง ไม่เคยปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นพระอรหันต์ ถึงรู้เรื่องของหัวใจ รู้เรื่องความรู้สึกของใจทั้งหมด เพราะอะไร? เพราะก่อนจะเป็นพระอรหันต์ได้ต้องทำชำระกิเลสออกไปจากใจ กิเลสอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก มันรังแกหัวใจดวงนั้น เห็นไหม เบียดเบียนตนและเบียดเบียนผู้อื่น กิเลสอย่างละเอียดนะ

คนที่มั่งมีศรีสุขมาก คนที่มีสมบัติมาก แต่ทุกคนว้าเหว่ เห็นไหม มีสมบัติก็สมบัติช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก เราคิดว่ามีสมบัติแล้วสมบัตินั้นจะมีความสุข เราจะมีความสุข เราจะใช้จ่ายมันไป มันยิ่งเป็นความทุกข์นะ ถ้าเรามีสมบัติมากแล้วเราต้องพลัดพรากจากสมบัติอันนั้น ความรู้สึกมันจะอาลัยอาวรณ์นะ

ในพุทธกาลน่ะ โตเทยยพราหมณ์ เห็นไหม มีสมบัติมาก ฝังสมบัติไว้เป็นไห ๆ เอาทองใส่ไหฝังไว้ แล้วผูกพันกับมันนี่ เกิดมาเป็นสุนัขเฝ้ามันนะ เพราะอะไร? เพราะสมบัติของเรา ควรจะได้บุญกุศล ควรจะได้ไปเกิดในสิ่งที่ดี เกิดในบุญกุศล ทำกุศลแล้วสมบัตินี้จะให้ประโยชน์กับเรา

นี่ปัญญาสภาวะแบบนั้น มันอาลัยมันอาวรณ์ไง ความทุกข์อันละเอียดมันเบียดเบียนตน มันเบียดเบียนอย่างนี้ มันเบียดเบียนในหัวใจของเรา มันอาลัยอาวรณ์ เราจะไปไหนเราก็ไม่รู้ เราจะทำอย่างไรเราก็ไม่รู้ นี่มันถึงว่า ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ข้างหลังมาจากไหนก็ไม่รู้ ปัจจุบันก็ละล้าละลัง เห็นไหม ละล้าละลังเพราะว่ามันไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ

การประพฤติปฏิบัติเข้ามา เห็นไหม วันนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษา นี่เราเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศของพุทธศาสนา แล้วผู้นำของเราเป็นคนดีด้วย ผู้นำของเราอยู่ในทศพิศราชธรรมด้วย นี่มันถึงทำให้เราเป็นสุขไง เราเป็นสุข เห็นไหม ดูสมัยโบราณสิ ในเมืองจีนเขา เวลากษัตริย์เขาดีนี่ เขาทำบุญกุศลกันนี่เพื่ออะไร? เพื่อความสุขไง เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเขา

เวลาเขามีความเร่าร้อนขึ้นมา เห็นไหม นี่อพยพกันไปทั่วโลกเลยนะ ออกจากนั้นไปนี่ทุกสาขาออกไปหาแสวงหาประเทศอันสมควรไง แล้วเราเกิดในประเทศอันสมควรแล้ว เราต้องแสวงหาสิ่งใดล่ะ ในเมื่อเราเกิดในประเทศอันสมควรแล้ว เรามีสมบัติ เรามีสิ่งที่อาศัย มีปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา แล้วเราก็มีสมอง เราก็มีปัญญา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเราที่สุดล่ะ?

สิ่งใดที่จะแก้ความลังเลสงสัยของเรา ให้มันอบอุ่นในหัวใจไง หัวใจอบอุ่นนี่ อบอุ่นขึ้นมานั่นน่ะ ทำความสงบของใจเข้ามานี่ มันปล่อยวางภาระต่าง ๆ มันจะเห็นมาจากภายในนะ เรากินอาหารเราก็อิ่ม ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ เวลาหน้าหนาวเราใส่เสื้อผ้าเราก็อบอุ่น เห็นไหม นี่อบอุ่นของร่างกาย

แต่อบอุ่นร่างกายนี่กาลเวลามันก็ผ่านไป ฤดูกาลทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป ชีวิตนี้ก็ต้องเปลี่ยนไป เราต้องตายต้องเกิด ปัจจุบันนี้เกิดมาด้วยบุญกุศลมาก เรามาฟังธรรมนี่ เราได้โอกาสทำบุญกุศล นี่สำคัญมาก สัตว์เขาอยากทำคุณงามความดี เขาก็ทำความดีของเขา เขาประจบเจ้านายของเขาได้เท่านั้นนะ สัตว์คุณงามความดีมี

เราเป็นโพธิสัตว์นี่ เวลาผู้ที่ประพฤติโพธิสัตว์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นนี่ เกิดมาตลอด สิ่งนี้มันถึงซับสมอยู่ในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎก เห็นไหม เคยเกิดเป็นกวาง เคยเกิดเป็นนก เคยเกิดทุกอย่าง สิ่งที่เคยเกิด เกิดสภาวะแบบนั้นนี่ มันสร้างขึ้นมา เกิดที่ไหนมันก็เป็นหัวหน้าไง เป็นพาหมู่คณะทำคุณงามความดี เพื่อสะสมเป็นชาติหนึ่ง ๆ ขึ้นมา นี่จน ๔ อสงไขย แสนมหากัป ถึงจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ของเราก็เหมือนกัน เราต้องมีเมื่อวานนี้ เราได้เมื่อวานนี้คือชาติที่แล้วนี่ เราได้คุณงามความดีของเรามา เราถึงมีโอกาสไง เรามีโอกาส เห็นไหม จะว่าเศรษฐกิจมันไม่ดี เราต้องไปแสวงหาเศรษฐกิจให้เรามีที่พึ่งก่อน เศรษฐกิจดีหรือไม่ดีเราก็กินอิ่มเดียว เราก็ต้องเกิดแล้วก็ต้องตาย เศรษฐกิจดีเราทำคุณงามความดีของเรา นี่เรามีอำนาจวาสนา เราทำสิ่งใดมันจะสมความปรารถนาของเรา

ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนานะ เราดิ้นรนขนาดไหนมันก็ไม่ถึงขนาดนั้น การกระทำของเราขึ้นมานี่ ในระบบเศรษฐกิจทุกคนทำเหมือนกัน ทุกคนแข่งขันเหมือนกัน ทำไมบางคนประสบความสำเร็จล่ะ บางคนไม่ประสบความสำเร็จ แล้วถ้าเรื่องของกรรมเป็นอย่างนั้นแล้วมันขีดเส้นตายตัวหรือ เป็นกรรมนี่ มันเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นโอกาส แต่เราก็ต้องทำไง กรรมอดีตกรรมอนาคตแก้ไขไม่ได้ กรรมในปัจจุบันนี้ เห็นไหม

นี่เวลากษัตริย์ออกบวชในสมัยพุทธกาล เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติไป “ที่นี่สุขหนอ ๆ” นี่เขาสละออกมาจากการเป็นกษัตริย์ เขาออกมาเป็นนักบวชน่ะ มีผ้า ๓ ผืน มีบริขาร ๘ นี้เป็นที่อาศัย นี่สมบัติเขามีแค่ ๘ อย่างนี้เท่านั้น ทำไมเขาว่าประพฤติปฏิบัติอะไรเขามีความสุขล่ะ “ที่นี่สุขหนอ ๆ” จนพระเขาว่าพระองค์นี้อวดอุตริ ถึงไปฟ้องพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าถาม

“ทำไมเธอว่าอย่างนั้นล่ะ?”

“สมัยเป็นกษัตริย์ เวลานอนอยู่ในราชวังมีทหารมหาดเล็กรักษาทั้งหมดเลย มันก็นอนสะดุ้ง นอนไม่มีความสุขเลย เพราะว่ากลัวเขาแย่งอำนาจ กลัวมีการแก่งแย่งกัน กลัวทุกอย่าง มันมีความระแวงในหัวใจ ไม่เคยมีความสุขเลย อยู่แบบระแวงไปตลอดเลย ขณะนี้นอนอยู่โคนต้นไม้ประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้วนี่ มีความสุขมาก ๆ” เห็นไหม มีความสุขเพราะเรารักษาใจของเราได้ มีความสุขเพราะเราแก้ไขใจของเราได้ เพราะมันไม่เบียดเบียนตัวมันเองไง ในเมื่อมันไม่มีความว้าเหว่ มันอิ่มเต็มของมัน มันรู้สภาวะแบบธรรมหมด

มองไปในโลกสิ โลกนี้แปรสภาพทั้งหมด สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งที่โลกนี้เป็นอนิจจังนี่ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ถ้าพูดอย่างนี้กระแสโลกเขาบอกนี่ ศาสนาเราสอนให้โลกด้วน สอนให้โลกแบบว่าไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการพัฒนา...ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องกังวล

สิ่งที่เป็นกังวล เห็นไหม นี่ถ้าคนถือศีล ๕ ทั้งหมด กฎหมายไม่ต้องมีหรอก ศีล ๕ นี่ไม่เบียดเบียน ไม่ลักทรัพย์นี่ จะไม่ต้องมีกฎหมายเลย แต่มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ถึงต้องมีกฎหมายมารอนสิทธิ์ของมนุษย์นี่ ถ้าเป็นสัตว์ เห็นไหม สัตว์มันไม่มีกฎหมายของมัน มันตามธรรมชาติของมัน แต่เวลามันเบียดเบียนกัน มันก็เบียดเบียนกันถึงชีวิต ของเรามีกฎหมายมารอนสิทธิ์ของเรา เพื่อจะให้สังคมอยู่ได้ไง

ถ้าสังคมอยู่ได้ เพราะกฎหมายมารอนสิทธิ์ให้เรา สิทธิของเราต้องไม่เบียดเบียนสิทธิของคนอื่น สิ่งสภาวะแบบนั้นถึงเป็นสังคม เห็นไหม สิ่งที่เป็นสังคมเป็นสภาวะแบบนั้น นี่แล้วถ้าหัวใจล่ะ หัวใจมันเบียดเบียนตัวมันเองนี่ มันจะเบียดเบียนมันสภาวะแบบไหน เราทำเข้ามา เห็นไหม จนยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าสิ่งนี้วิปัสสนาได้ นี่ศาสนาพุทธสำคัญแบบนั้น สำคัญที่ว่าในเมื่อมีศีล ๕ สภาวะแบบนั้นกฎหมายมันไม่จำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็น

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราออกประพฤติปฏิบัติน่ะ ใครจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหน มันจะได้เท่าไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ แต่ก็ท้อใจ เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าต้องมีไง ในพระอภิธรรมเขาถึงบอก “พระอรหันต์ต้องสร้างสมมาอย่างน้อย ๒ แสนภพชาติต้อง ๒ แสนกัปขึ้นมา ถึงจะเป็นพระอรหันต์ได้” แต่เราสร้างสมของเราขึ้นมาขนาดไหน ในอดีตชาติมันมีขนาดไหน นี้มันมีอยู่แล้วไง ปัจจุบันนี้มันถึงแก้ไขได้

เวลาเราจะเทิดทูน เห็นไหม เราทำบุญเพื่อในหลวง เพื่อในหลวงก็เพื่อเรา นี้ก็เหมือนกัน เราทำบุญนะ เราถวายพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ก็เพื่อเรา เพราะเราเป็นคนกระทำ เราทำขนาดไหน เราหว่านข้าวลงไปในนา ถ้าข้าวนั้นเกิดขึ้นมานี่ มันเป็นของเราทั้งหมด

ในศาสนาพุทธนี้ ในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งนี้เป็นความจริง ธรรมเป็นสภาวะความจริงอยู่ เราเชื่อในสภาวธรรมแบบนั้น แล้วเราหว่านพืชของเราลงไปนะ หว่านสิ่งที่เราหามาเป็นไทยทานลงไป นี่หว่านลงไปในศาสนา ศาสนามันให้ผลโดยธรรมชาติของมัน ให้ผลอยู่แล้ว แต่ให้ผลอย่างนี้ก็ให้ผลในการเวียนตายเวียนเกิด ในเวียนตายเวียนเกิด

แต่ในการประพฤติปฏิบัติ ในการแก้กิเลสมันต้องทำลายเม็ดพืชพันธุ์นั้นไง ทำลายหัวใจดวงนั้นไง ถ้าหัวใจดวงนั้นทำให้มันไม่เบียดตัวมันเอง ถ้ามันไม่เบียดตัวมันเอง มันจะไม่เบียดเบียนใครเลย เพราะมันไม่เบียดตัวมันเอง แต่ถ้ามีกิเลสอยู่นี่ มันจะเบียดเบียนตัวมันเอง อย่างน้อยมันก็ว้าเหว่ มันก็ทุกข์อยู่ของมัน มันว้าเหว่นะ

นี่ถ้าทำถึงที่สุดแล้วมันจะไม่มีความว้าเหว่เลย เพราะมันเป็นความจริง เห็นสภาวะความจริงทั้งหมด แล้วจิตนี้มันก็ไม่เกิดไม่ตายสภาวะตามเป็นจริง เพราะมันชำระกิเลสโดยธรรมชาติของมัน มันจะไม่มีความว้าเหว่เลย มันรอเวลาเท่านั้นนะ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อีก ๔๕ ปีนี่ แบกเศษส่วน แบกขันธ์ ๕ อยู่ แบกไปถึงที่สุด จน เห็นไหม ในคราวหนึ่งเราฉันข้าวของนางสุชาดา นั้นเป็นผลบุญมากที่สุด เพราะได้ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน แล้วในคราวหนึ่งฉันอาหารของนายจุนทะถึงซึ่งขันธนิพพาน คือเศษส่วนนี้ไง นี่รอเวลาละเศษส่วนนี้ไป มันถึงไม่ตื่นเต้นกับสภาวธรรมทั้งโลกเขา โลกเขาเป็นสภาวะแบบนี้ วันคืนเดือนปีล่วงไป ๆ แล้วมันก็ทำลายให้อายุขัยของเราน้อยไป ๆ แล้วเราก็ต้องตายไป ตายไปแน่นอน

แต่ถ้าจิตมันอิ่มเต็มแล้วนี่ สิ่งที่ตายนั้นมันเป็นเรื่องของเศษส่วนเท่านั้น หัวใจดวงนี้ไม่เคยตาย ตั้งแต่กิเลสดับออกไปจากใจแล้ว จะไม่มีสิ่งใดเกิดและตายอีกเลย คงที่ตลอดไป ในศาสนาพุทธเรา ในมงคล ๓๘ ประการ ในตบะธรรม เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วนี่ “นิพฺพานํ” ถึงที่สุดให้ดับทุกข์ให้ได้ในหัวใจ เป็นมงคลอย่างยิ่ง

เราเกิดในประเทศอันสมควร เจอผู้นำ เจอศาสนา เจอทุกอย่างพร้อมเลย ถ้าเราทำของเราจะเป็นประโยชน์ของเรามาก ถ้าเราไม่ทำของเรานี่ มันเป็นสมบัติอันละเอียดไง คนต้องมีดวงตาถึงจะเข้าถึงสภาวะแบบนี้ได้ ถ้าเข้าถึงสภาวะแบบนี้ไม่ได้ ก็จะไม่เห็นสภาวะแบบนั้น ทาน ศีล ภาวนา ทานทำง่าย ๆ ยังทำกันได้ยากเลย แล้วศีลปฏิบัติอย่างไร แล้วภาวนาอย่างไรถึงที่สุด เอวัง